แชร์

วิตามิน E และ B3 คู่หูเพื่อผิวสวยใสไร้ริ้วรอย

อัพเดทล่าสุด: 1 พ.ย. 2024
37 ผู้เข้าชม

วิตามิน E: ผู้พิทักษ์ผิวจากอนุมูลอิสระ

วิตามิน E เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่แข็งแกร่ง ทำให้มีบทบาทสำคัญในการดูแลผิว

 ประโยชน์ของวิตามิน E ต่อผิว

1.ต้านอนุมูลอิสระ : ปกป้องเซลล์ผิวจากความเสียหายที่เกิดจากรังสี UV และมลภาวะ[1]

2. เพิ่มความชุ่มชื้น : ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันความชุ่มชื้นของผิว ทำให้ผิวนุ่มและเรียบเนียน[2]

3.ลดการอักเสบ : มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดอาการแดงและระคายเคืองของผิว[3]

4.ต้านริ้วรอย : ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยและจุดด่างดำบนผิว[4]

 
วิตามิน B3 (ไนอาซินาไมด์): ผู้ฟื้นฟูผิวอเนกประสงค์

วิตามิน B3 หรือที่รู้จักในชื่อไนอาซินาไมด์ เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ มีคุณสมบัติหลากหลายที่เป็นประโยชน์ต่อผิว

 ประโยชน์ของวิตามิน B3 ต่อผิว

 1.เพิ่มการผลิตเซราไมด์ : ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวแข็งแรงและชุ่มชื้น[5]

2.ลดการสร้างเม็ดสีผิว : ช่วยลดการเกิดจุดด่างดำและทำให้สีผิวสม่ำเสมอ[6]

3.ลดการอักเสบ : มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยบรรเทาอาการของโรคผิวหนังบางชนิด เช่น สิว และโรคสะเก็ดเงิน[7]

4.กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน : ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว ลดเลือนริ้วรอย[8]

 

พลังของคู่หู : วิตามิน E และ B3

 เมื่อใช้วิตามิน E และ B3 ร่วมกัน จะเกิดประโยชน์ที่เสริมกันดังนี้:

 1.การต้านอนุมูลอิสระที่แข็งแกร่ง : วิตามิน E เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่แข็งแกร่ง ในขณะที่วิตามิน B3 ช่วยเพิ่มการผลิตสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ทำให้การปกป้องผิวมีประสิทธิภาพมากขึ้น[9]

 2.การฟื้นฟูผิวที่ครบวงจร : วิตามิน E ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหาย ในขณะที่วิตามิน B3 กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวได้รับการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์[10]

 3.การเพิ่มความชุ่มชื้นที่ยั่งยืน : วิตามิน E ช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นในผิว ขณะที่วิตามิน B3 ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้นยาวนาน[11]

 4.การต่อต้านริ้วรอยที่มีประสิทธิภาพ : วิตามิน E ช่วยปกป้องคอลลาเจนจากความเสียหาย ในขณะที่วิตามิน B3 กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ลดเลือนริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ[12]

 

วิธีการใช้วิตามิน E และ B3 ในการดูแลผิว

1.เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของทั้งสองวิตามิน : มีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลายชนิดที่ผสมวิตามิน E และ B3 ไว้ด้วยกัน

2.ใช้เป็นประจำ : ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามิน E และ B3 เป็นประจำทุกวัน ทั้งเช้าและก่อนนอน

3.ทาครีมกันแดดทับ : เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามิน E และ B3 ในตอนเช้า ควรทาครีมกันแดดทับเสมอเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้องผิว

4.รับประทานอาหารที่มีวิตามิน E และ B3 : นอกจากการใช้ภายนอก การรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินทั้งสองชนิดก็มีส่วนช่วยในการบำรุงผิวจากภายในด้วย

 
 ข้อควรระวัง

 แม้ว่าวิตามิน E และ B3 จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ควรใช้อย่างระมัดระวัง

 - ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายควรทดสอบผลิตภัณฑ์บนผิวก่อนใช้

- หากเกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง ให้หยุดใช้ทันทีและปรึกษาแพทย์ผิวหนัง

- ไม่ควรใช้วิตามิน E และ B3 ในความเข้มข้นที่สูงเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้

 

 สรุป

วิตามิน E และ B3 เป็นคู่หูที่ยอดเยี่ยมสำหรับการดูแลผิว ด้วยคุณสมบัติที่หลากหลายและเสริมซึ่งกันและกัน ทำให้สามารถมอบผลลัพธ์ที่ดีให้กับผิวได้อย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการต้านอนุมูลอิสระ การเพิ่มความชุ่มชื้น การลดเลือนริ้วรอย หรือการปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินทั้งสองชนิดนี้ ร่วมกับการดูแลผิวอย่างเหมาะสม จะช่วยให้คุณมีผิวที่สวย สุขภาพดี และดูอ่อนเยาว์ได้ยาวนาน

 

 แหล่งอ้างอิง

 [1] Thiele, J. J., & Ekanayake-Mudiyanselage, S. (2007). "Vitamin E in human skin: organ-specific physiology and considerations for its use in dermatology." Molecular Aspects of Medicine, 28(5-6), 646-667.

 [2] Keen, M. A., & Hassan, I. (2016). "Vitamin E in dermatology." Indian Dermatology Online Journal, 7(4), 311-315.

 [3] Rizvi, S., et al. (2014). "The role of vitamin E in human health and some diseases." Sultan Qaboos University Medical Journal, 14(2), e157-e165.

 [4] Mochizuki, M., et al. (2020). "Mechanism of the Synergistic Effect of Vitamin E and Vitamin C on the Oxidation of Lipids in Homogeneous Solution." ACS Omega, 5(37), 23592-23599.

 [5] Wohlrab, J., & Kreft, D. (2014). "Niacinamide - mechanisms of action and its topical use in dermatology." Skin Pharmacology and Physiology, 27(6), 311-315.

 [6] Hakozaki, T., et al. (2002). "The effect of niacinamide on reducing cutaneous pigmentation and suppression of melanosome transfer." British Journal of Dermatology, 147(1), 20-31.

 [7] Shalita, A. R., et al. (1995). "Topical nicotinamide compared with clindamycin gel in the treatment of inflammatory acne vulgaris." International Journal of Dermatology, 34(6), 434-437.

 [8] Bissett, D. L., et al. (2005). "Niacinamide: A B vitamin that improves aging facial skin appearance." Dermatologic Surgery, 31(7 Pt 2), 860-865.

 [9] Gensler, H. L., & Magdaleno, M. (1991). "Topical vitamin E inhibition of immunosuppression and tumorigenesis induced by ultraviolet irradiation." Nutrition and Cancer, 15(2), 97-106.

 [10] Oblong, J. E., et al. (2005). "Molecular basis for the effects of niacinamide on epidermal barrier function and stratum corneum hydration." Journal of Cosmetic Science, 56(2), 69-70.

 [11] Mohammed, B. M., et al. (2015). "Vitamin E and N-Acetylcysteine as antioxidant adjuvant therapy in children with acute lymphoblastic leukemia." Advances in Hematology, 2015, 1-7.

 [12] Tanno, O., et al. (2000). "Nicotinamide increases biosynthesis of ceramides as well as other stratum corneum lipids to improve the epidermal permeability barrier." British Journal of Dermatology, 143(3), 524-531.


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy